วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มรดกโลกบ้านเชียง





แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๓๕ 
จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๖ ที่เมืองแซนตาเฟ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้            
    - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว             
  แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง อยู่ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัตศาสตร์ ย้อนหลังไปกว่า ๔,๓๐๐ ปี ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิต และสร้างสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนา วัฒนธรรมบ้านเชียง ได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโก ของสหประชาชาติจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็นแห่งหนึ่งในบรรดามรดกโลก



ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ
           แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๖๐ กิโลเมตร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่บนเนินดินสูง รูปยาวรี ตามแนวตะวันออก - ตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๔๐๐ ไร่ กลางเนินสูงกว่าพื้นที่รอบ ๆ ราว ๘ เมตร ราษฎรชาวบ้านเชียงในปัจจุบันมีเชื้อสายลาวพวนที่อพยพเคลื่อนย้ายชุมชนมาจากแขวงเชียงขวางประเทศลาว เมื่อ ๒๐๐ ปีมาแล้

           


 ประวัติศาสตร์ โบราณคดี
       "แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง"   เป็นแหล่งทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไทย               โบราณ วัตถุและหลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่าง ๆ ที่พบจากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นประจักษ์     พยานยืนยันถึงสังคมและวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีพัฒนาการทั้งด้านเศรษฐกิจ วิทยาการและศิลปะอย่างแท้จริง และพัฒนาการเหล่านั้นได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมานับพัน ๆ ปี
               วัฒนธรรมบ้านเชียงจึงนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนับพันๆ ปี โดยมีการพัฒนาการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้าน รู้จักปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เริ่มแรกคือเมื่อประมาณ ๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว รวมทั้งมีการจัดระบบเช่น การฝังศพเป็นประเพณีสืบทอดต่อ ๆ กันมาหลายสมัย นับเป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาเรื่องการจัดระบบสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านเทคโนโลยี เช่น "การผลิตภาชนะดินเผาด้วยฝีมือระดับสูง", "การผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยโลหะ" โดยเป็นการประดิษฐ์คิดค้นที่มีวิธีการเป็นของวัฒนธรรมบ้านเชียงเอง มิได้รับอิทธิพลจากจีนหรืออินเดียตามที่เคยเข้าใจกัน
  นอกเหนือไปจากโบราณวัตถุประเภทต่างๆ ทำจากวัสดุนานาชนิดที่ช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องสังคมและเทคโนโลยีแล้ว การขุดค้นที่บ้านเชียงยังพบกระดูกสัตว์ชนิดต่างๆ และเปลือกหอยด้วย ซึ่งทำให้นักโบราณคดีสามารถเข้าใจ และอธิบายถึงวิถีทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงนั้นได้ จากหลักฐานการใช้เหล็กและจากกระดูกควายที่พบ นักโบราณคดีสรุปได้ว่ามนุษย์รู้จักการทำนาในที่ลุ่มและมีการไถนาแล้วเมื่อราวเกือบ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ส่วนหลักฐานกระดูกสัตว์ต่าง ๆ และเปลือกหอยหลายชนิด นักโบราณคดีสามารถบอกได้ว่าสัตว์ชนิดใดน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง และสัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์ที่ถูกล่าหรือจับมาเป็นอาหาร
  นอกจากนี้ยังได้มีการขุดค้นทางโบราณคดี ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ - ๒๕๔๘ ที่วัดโพธิ์ศรีใน ได้พบ หลักฐานโครงกระดูกสัตว์ที่สำคัญแบบเต็มโครงสมบูรณ์  ได้แก่ โครงกระดูกควาย โครงกระดูกปลา และโครงกระดูกสุนัข เป็นต้น จากการวิเคราะห์เบื้องต้นโดย ดร.อำพัน กิจงาม นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระดูกสัตว์  ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงกระดูกควายที่พบว่า  น่าจะเป็นควายที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน  เนื่องจากกระดูกเท้ามีลักษณะผิดปกติ   ซึ่งเกิดจากการกดทับจากการใช้แรงงาน นอกจากนี้ ขณะดำเนินการขยายผนังหลุมขุดค้น เพื่อวางโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ได้พบโครงกระดูกสุนัขแบบเต็มโครงสมบูรณ์  ซึ่งน่าจะเป็นสุนัขที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้เช่นกัน 
          โครงกระดูกสุนัขที่สมบูรณ์พบภายหลังจากขุดค้นทางโบราณคดี จนถึงระดับชั้นดินที่ไม่พบร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์แล้ว และได้ขุดขยายผนังหลุมเพื่อวางโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และใช้เป็นผนังสำหรับทำหลุมขุดค้นจำลองการขุดค้นดังกล่าวได้ใช้วิธีการขุดค้นและเก็บข้อมูลแบบเดียวกับที่ใช้ภายในหลุมขุดค้น โดยขุดขยายออกไปจากขอบหลุมเดิมประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ยกเว้นพื้นที่บริเวณ PSN-๑ ด้านทิศตะวันออกที่ต้องขุดขยายออกไป ๙๐ เซนติเมตร บริเวณนี้เองที่ทำให้เราได้พบหลักฐานโครงกระดูกสุนัขในพื้นที่ S ๓-๔ E ๑๖-๑๗ ลึกจากระดับผิวดินประมาณ ๑๘๐ - ๒๑๐ เซนติเมตร (๒๕๐ – ๒๘๐ cm.dt.) วางตัวอยู่ตรงกับตำแหน่งโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข ๐๔๖ บริเวณใต้แขนข้างซ้าย  แต่มีระดับความลึกใกล้เคียงกับโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข ๐๖๙ ซึ่งวางอยู่บริเวณใกล้ปลายเท้า โดยมีโครงกระดูกมนุษย์ที่ฝังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน คือ โครงกระดูกมนุษย์หมายเลข ๐๗๖, ๐๗๐ และ ๐๖๘ 
ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของความสัมพันธ์ระหว่างโครงกระดูกสุนัขกับหลักฐานทางโบราณคดี            จากการศึกษาการทับถมของชั้นดินหลังขุดค้นพบว่า ลักษณะหน้าตัดของดินใต้โครงกระดูกสุนัขเป็นเส้นโค้งคล้ายหลุม ซึ่งน่าจะเป็นภาพตัดขวางของหลุมฝังศพ โดยมีความลึกจากระดับมาตรฐานสมมติ ๒๕๐ - ๒๘๐ cm.dt. อยู่ใกล้กับหลุมฝังศพหมายเลข ๐๖๙ ซึ่งมีความลึกจากระดับมาตรฐานสมมติ ๒๑๐ - ๒๕๐ cm.dt. จากหลักฐานวัตถุอุทิศที่พบบริเวณปลายเท้าของโครงกระดูกหมายเลข ๐๖๙ และ ๐๗๖ แสดงให้เห็นว่า มีพิธีกรรมการฝังศพที่วางเครื่องเซ่นไว้ที่ปลายเท้าจึงมีความเป็นไปได้ว่า โครงกระดูกสุนัขที่พบน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับหลักฐานหลุมฝังศพ โดยอาจเป็นเครื่องเซ่นสำหรับพิธีกรรมการฝังศพของโครงกระดูกมนุษย์ ที่ถูกฝังในตำแหน่งถัดออกไปทางทิศตะวันออกในผนังหลุม ซึ่งไม่ได้ขุดค้น อย่างไรก็ตาม     ข้อมูลนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นจากหลักฐานข้างเคียง   ซึ่งยังไม่สมบูรณ์มากนัก  เนื่องจากพื้นที่แวดล้อมโดยรอบของโครงกระดูกสุนัขไม่ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดี จึงไม่สามารถสรุปข้อมูลดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจพบหลักฐานบางอย่างที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโครงกระดูกสุนัข ที่ยังถูกฝังอยู่ในชั้นดินข้างเคียงก็อาจเป็นได้


การดำเนินงานอนุรักษ์เบื้องต้นภายหลังการค้นพบโครงกระดูกสุนัข (ตั้งแต่ ปี.พ.ศ. ๒๕๔๗  - ๒๕๔๙ )            ภายหลังการแต่งโครงกระดูกสุนัข ได้บันทึกสภาพและเก็บหลักฐานขึ้นจากหลุมขุดค้น โดยการตัดเป็นแท่นดินมีแผ่นเหล็กทำเป็นกรอบป้องกันและรองรับน้ำหนักดิน ใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดทำเป็นกล่องเจาะรูครอบปิดไว้ แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง โครงกระดูกนี้ได้รับการศึกษาวิเคราะห์เบื้องต้นจาก ดร.อำพัน กิจงาม ซึ่งจะได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวในโอกาสต่อไป และได้รับคำแนะนำจากคุณจิราภรณ์ อรัญยะนาค หัวหน้ากลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ ในการรักษาสภาพเบื้องต้นว่า ให้ใช้กระจกหรืออเครลิคครอบปิดส่วนบน โดยให้มีรูระบายอากาศ หากปรากฏเชื้อราหรือเกลือที่ผิวกระดูกให้ทำความสะอาดออกทันที และให้มีการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด            ปัจจุบันได้นำโครงกระดูกสุนัขไปจัดแสดงไว้ที่หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน ร่วมกับข้อมูลหลักฐานอื่นๆ บางส่วนที่ขุดพบ เพื่อให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้เข้าชม ก่อนที่จะดำเนินการจัดทำหลุมจัดแสดงจำลองต่อไปในภายหน้า  ซึ่งจะทำการจัดแสดงหลักฐานข้อมูลเดิมก่อนการขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้การอนุรักษ์และการจัดแสดงโครงกระดูกสุนัข                ๑. ทำความสะอาดด้วยพู่กัน ปัดฝุ่นและเกลือ เบื้องต้น เป็นระยะ ๆ 
               ๒. ใส่ดินเทียม(ป่น) ลงในรอยแยก ( crack )               ๓. นำโบราณวัตถุจริงเก็บไว้ในห้องคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง               ๔. ประสานนักวิชาการช่างศิลป์ออกแบบแท่นฐานโบราณวัตถุ และป้ายจัดแสดง (จำนวน ๓ ชุด แท่นสำหรับโบราณวัตถุ ๑ ชุด, แท่นสำหรับจำลองโบราณวัตถุ ๒ ชุด ) พร้อมทั้งทำครอบแก้วหรือพลาสติกอเครลิก สำหรับครอบโบราณวัตถุพร้อมเจาะรูระบายอากาศ               ๕. ประสานนักอนุรักษ์ ตรวจสอบสภาพโบราณวัตถุ (กระดูกสุนัข) เพื่ออนุรักษ์ก่อนจะครอบแก้ว                ๖. ประมาณราคาทั้งหมด
               ดร. อำพัน  กิจงาม นักโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสัตว์ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างกระดูกสัตว์ชนิดต่างๆ ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ผลการศึกษาระบุว่า ได้พบกระดูกสัตว์มากกว่า ๖๐ ชนิด (Kijngam, ๑๙๗๙) โดยชนิดของสัตว์ที่พบในพื้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง สามารถนำมาศึกษาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรวมไปถึงปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งย่อมมีความแตกต่างกันไปตามชนิดและประเภทของสัตว์ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ ณ ระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ต้องอาศัยการศึกษาวิเคราะห์ชนิดของพืชประกอบด้วย
               สัตว์เลี้ยงของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงตั้งแต่สมัยต้นจนถึงสมัยปลาย ได้แก่ วัว หมู และสุนัข จากการศึกษาพบว่าสัตว์เลี้ยงดังกล่าวมีอายุค่อนข้างน้อยเมื่อตาย ต่อมาในสมัยกลางได้พบกระดูกควาย ซึ่งสามารถระบุได้ว่าเป็นควายเลี้ยงเพื่อใช้งาน เพราะมีการนำกระดูกกีบเท้าของควาย (III  phalange) ที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงมาศึกษาเปรียบเทียบกับควายปัจจุบัน พบว่ามีร่องรอยการลากไถเหมือนกัน โดยมีความแตกต่างกับวัวซึ่งไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้วัวในการลากไถเลย ผลการศึกษายังระบุอีกว่า เมื่อปรากฏหลักฐานการเลี้ยงควายในสมัยกลาง ก็ปรากฏหลักฐานการใช้เครื่องมือเหล็กที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน 
               สัตว์จำพวก วัวป่า หมูป่า กวาง สมัน ละอง/ละมั่ง เนื้อทราย เก้ง เป็นสัตว์ที่ถูกล่ามาเพื่อใช้เป็นอาหาร มีหลักฐานประการหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปริมาณความหนาแน่นของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากขึ้นตั้งแต่สมัยกลางลงมา ส่วนสัตว์ขนาดเล็กที่ถูกจับมาเป็นอาหาร ได้แก่ กระต่าย ชะมด อีเห็น พังพอน หนู นาคใหญ่ เสือปลา แมวป่า สัตว์น้ำ ได้แก่ หอยและปลาชนิดต่างๆ   สัตว์เหล่านี้จะพบมากในสมัยต้นและเริ่มลดจำนวนลงในสมัยต่อมา นอกจากนี้ยังพบสัตว์จำพวก จระเข้ หมาหริ่ง ตัวนิ่ม อึ่งอ่าง คางคก ตะกวด และเม่น รวมอยู่ด้วย
               ประเภทและชนิดของสัตว์ที่พบ ทำให้สามารถระบุลักษณะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ได้ โดยอาศัยรูปแบบการดำรงชีวิตของสัตว์เป็นตัววิเคราะห์สภาพแวดล้อม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ในสมัยต้น พบว่ามีสัตว์ที่ชอบอยู่อาศัยในภูมิประเทศแบบป่าดิบแล้ง (Dry decidous forest) และมีแหล่งน้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสมัยกลาง ผลการศึกษาระบุว่า ความต้องการในการขยายพื้นที่เพาะปลูกเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีบางประการ อันได้แก่ การใช้เครื่องมือเหล็ก และรู้จักใช้ควายเป็นเครื่องทุ่นแรงในการลากไถ เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพแวดล้อมของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเกิดการเปลี่ยนแปลง ยังผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย ทำให้หลักฐานกระดูกสัตว์ที่พบเกิดการเปลี่ยนแปลงไป 


บทสรุปของหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับกระดูกสัตว์ที่ผ่านมา


               ทั้งนี้ วัฒนธรรมบ้านเชียง มิใช่จะมีอาณาบริเวณเฉพาะตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานีเท่านั้นหากแต่ครอบคลุมอาณาเขตหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ประวัติการค้นคว้าเรื่องโบราณคดีที่บ้านเชียง
 

               ราว พุทธศักราช ๒๕๐๐ ราษฎรชาวบ้านเชียงบางท่าน ได้เริ่มให้ความสนใจเศษภาชนะดินเผาที่มีการตกแต่งด้วยการเขียนเป็นลายสีแดง ซึ่งมักพบเสมอเวลาขุดดินในหมู่บ้าน จึงมีการเก็บรวบรวมไว้และนำไปมอบให้นายพรมมี ศรีสุนาครัว ครูใหญ่โรงเรียนบ้านเชียง (ประชาเชียงเชิด) เก็บรักษาและจัดแสดงให้คนเข้าชมที่โรงเรียน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้เรื่องราวทางโบราณคดีของบ้านเชียงก็ยังไม่เป็นที่สนใจของคนทั่วไป
               พุทธศักราช ๒๕๐๓ นายเจริญ พลเตชา หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ได้ไปสำรวจที่บ้านเชียง และได้รับมอบโบราณวัตถุส่วนหนึ่งมาจากนายพรมมี ศรีสุนาครัว แต่เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเรื่องราวทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยยังไม่เป็นรู้จักกันนัก จึงยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ กับแหล่งโบราณคดีแห่งนี้
               พุทธศักราช ๒๕๐๙     นายสตีเฟน   ยัง   นักศึกษาวิชาสังคมศาสตร์   มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด      บุตรชายเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย  ได้เดินทางไปที่บ้านเชียงเพื่อรวบรวมข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์และได้พบเห็นเศษภาชนะดินเผากระจายเกลื่อนอยู่ทั่วไปตามผิวดินของหมู่บ้าน จึงได้นำตัวอย่างภาชนะดินเผาลายเขียนสีจำนวนหนึ่งมาให้ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ ตรวจสอบ ซึ่งท่านก็ได้ลงความเห็นว่าเป็นโบราณวัตถุของยุคโลหะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
               พุทธศักราช ๒๕๑๐ นายประยูร ไพบูลย์สุวรรณ หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๗ พร้อมด้วยนายวิรัช คุณมาศ    ได้เดินทางไปสำรวจที่บ้านเชียง    และในปีเดียวกันนี้เองนายวิทยา อินทโกศัย นักโบราณคดีจากกองโบราณคดีก็ได้ทำการขุดค้นที่บ้านเชียงในบริเวณที่ดินของนายสิทธา ราชโหดี
               พุทธศักราช ๒๕๑๕ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ประกอบด้วยนายพจน์ เกื้อกูล และนายนิคม สุทธิรักษ์ได้ทำการขุดค้นที่บ้านเชียงอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปบ้านเชียงและทอดพระเนตรการขุดค้นครั้งนี้
               และในปีเดียวกันนี้ คณะปฏิวัติได้ออกประกาศฉบับที่ ๑๘๙ ห้ามขุดค้นหรือลักลอบทำลายแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมบ้านเชียงในเขต ๙ ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านเชียง ตำบลบ้านธาตุ ตำบลบ้านดุง ตำบลศรีสุทโธ ตำบลบ้านชัย และตำบลอ้อมกอ ของจังหวัดอุดรธานี ตำบลม่วงไข่ ตำบลแวง และตำบลพันนา ของจังหวัดสกลนคร
               พุทธศักราช ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘  กรมศิลปากรร่วมกับพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จัดตั้งโครงการโบราณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อดำเนินการขุดค้นบ้านเชียง โดยมีนายพิสิฐ เจริญวงศ์ เป็นผู้อำนวยการโครงการฝ่ายไทย และดร.เชสเตอร์ กอร์แมน เป็นผู้อำนวยการโครงการฝ่ายสหรัฐ
               โครงการขุดค้นดังกล่าวจัดทำเป็นโครงการระยะยาว และเป็นโครงการลักษณะสหวิทยาการ (multi – disciplinary) ผลการศึกษาวิเคราะห์หลักฐานหลายประเภทโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาการสาขาต่าง ๆ ได้ปรากฏเป็นบทความและเอกสารทางวิชาการหลายฉบับซึ่งช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของบ้านเชียงในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องอายุสมัย ลักษณะของประชากร เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ฯลฯ


               เจ้าของวัฒนธรรมบ้านเชียง

               การขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียงระหว่าง  พุทธศักราช ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘  โดยโครงการร่วมระหว่างกรม-ศิลปากรและมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ได้พบโครงกระดูกคนราว ๑๓๐ โครง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้นำไปวิเคราะห์จำนวน ๑๒๗ โครง ผลการวิเคราะห์พบว่าสามารถแยกเพศได้ชัดเจนเพียง ๙๓ โครง โดยมีโครงกระดูกผู้ชาย ๕๔ โครง และผู้หญิง ๓๙ โครง
               ผู้ชายมีความสูงเฉลี่ยราว ๑๖๕ – ๑๗๕ เซนติเมตร ส่วนผู้หญิงสูงเฉลี่ยราว ๑๕๐ – ๑๕๗ เซนติเมตร คนพวกนี้มีรูปร่างล่ำสัน แข็งแรง มีช่วงขายาว ใบหน้าค่อนข้างใหญ่ หน้าผากกว้าง สันคิ้วโปน กระบอกตาเล็ก โหนกแก้มใหญ่
               คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงอายุไม่ยืนนัก โดยระยะสมัยต้นมีอายุเมื่อตายโดยเฉลี่ยประมาณ ๒๗ ปี ส่วนระยะสมัยปลายมีอายุเมื่อตายโดยเฉลี่ยประมาณ ๓๔ ปี โครงกระดูกส่วนใหญ่ไม่มีร่องรอยแสดงถึงการเสียชีวิตเนื่องจากบาดแผลร้ายแรง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงน่าจะมีชีวิตและสังคมที่สงบสุข
         ด้านเศรษฐกิจ
               ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยบนเนินดินบ้านเชียงเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้วนั้น เป็นกลุ่มชนที่พัฒนาแล้ว   มีเทคโนโลยีการทำภาชนะดินเผา   มีการเลี้ยงสัตว์บางชนิด   ได้แก่  วัว  หมู  หมา  และไก่  รวมทั้งยังทำการเพาะปลูกข้าวแล้ว
               การเพาะปลูกข้าวของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์รุ่นแรก ๆ ที่บ้านเชียงนั้น คงจะเป็นการทำนาหว่านในที่ลุ่มมีน้ำขัง ต่อมาในสมัยหลัง ๆ ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วจึงอาจพัฒนามาทำการเพาะปลูกข้าวโดยการทำนาดำในแปลงนาข้าวที่ต้องไถพรวนเตรียมไว้
               นอกเหนือจากการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แล้ว คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงยังคงทำการล่าสัตว์ป่า และสัตว์น้ำนานาชนิด เช่น เก้ง กวาง สมัน เสือ แรด หมูป่า นิ่ม ชะมด พังพอน นาก กระรอก กระต่าย จระเข้ เต่า ตะพาบ กบ ปลาดุก ปลาช่อน และหอยหลายชนิด ฯลฯ
               จากหลักฐานทางด้านโลหกรรมที่บ้านเชียง พบว่าสำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงและดีบุก ซึ่งเป็นโลหะที่ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติในบริเวณบ้านเชียง      ดังนั้นช่างสำริดที่บ้านเชียงจึงต้องได้โลหะทั้งสองชนิดนี้มาจากชุมชนอื่น อันแสดงให้เห็นว่าการติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายระหว่างชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อไม่น้อยกว่า ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว
               ด้านสังคม
               ร่องรอยของหลุมเสาบ้านที่พบชี้ให้เห็นว่าชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงนั้น ประกอบด้วย บ้านใต้ถุนสูง ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกร่วมอยู่กันเป็นหมู่บ้านถาวรบนเนินดินสูงที่ล้อมรอบด้วยที่ราบลุ่ม
               ในด้านสังคมนี้คงจะมีผู้ชำนาญงานหรือช่างฝีมือในงานเฉพาะด้านบางด้านอยู่ด้วยอย่างน้อยก็พบหลักฐานว่า ในระยะแรก ๆ มีนายพรานผู้ชำนาญการล่าสัตว์ มีช่างทำภาชนะดินเผา และในระยะหลัง ๆ มีช่างโลหะสำริดและช่างเหล็กเพิ่มขึ้นมา
               หลุมฝังศพหลายหลุมที่ได้พบว่ามีสิ่งของ เครื่องใช้สอย เครื่องประดับ ฝังอยู่ด้วยในปริมาณที่ต่าง ๆ กัน รวมทั้งเป็นของที่มีค่าต่าง ๆ กันแสดงให้เห็นว่าในสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงน่าจะประกอบด้วยสมาชิกที่มีฐานะแตกต่างกัน
   ภาชนะดินเผา

              
 การทำภาชนะดินเผาของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงมีวิธีการปั้นขึ้นรูป ๒ วิธีใหญ่ ๆ คือ

    วิธีที่ ๑ ประกอบด้วยการปั้นดินเป็นเส้นแล้วนำมาวางขดเป็นวงต่อขึ้นบนดินที่ทำเป็นแผ่นเรียบ จากนั้นจะใช้วิธีตีแต่งขึ้นรูปด้วยไม้ลายและหินดุให้เป็นภาชนะ โดยส่วนดินแผ่นเรียบนั้นจะตีให้เป็นส่วนก้นภาชนะและส่วนขดดินจะตีให้เป็นส่วนผนังหรือภาชนะส่วนบนและปาก
      วิธีที่ ๒ ประกอบด้วยการปั้นดินเป็นก้อนวางต่อลงบนดินที่ทำเป็นแผ่นเรียบ แล้วบีบส่วนก้อนดินให้ด้านในกลวงเป็นทรงกระบอก จากนั้นจึงตีด้วยหินดุและไม้ลายให้เป็นภาชนะ โดยส่วนดินแผ่นเรียบจะตีให้เป็นก้นภาชนะและส่วนก้อนดินนั้นจะกลายเป็นผนังหรือตัวภาชนะส่วนบนและปาก   หลังจากนั้นขึ้นรูปแล้วก็นำไปเผาโดยวิธีเผากลางแจ้ง หรือวิธีสุมไฟ ซึ่งใช้อุณหภูมิในการเผาระหว่าง ๕๐๐ – ๗๐๐ องศาเซลเซียส

               การโลหกรรม
               การโลหกรรมของบ้านเชียงเริ่มต้นโดยการใช้สำริด เมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว วัตถุเกี่ยวเนื่องกับการโลหกรรมด้านสำริดที่บ้านเชียงนั้นมีตั้งแต่ เบ้าดินเผาสำหรับหลอมโลหะ แม่พิมพ์หินทรายสำหรับหล่อโลหะให้เป็นวัตถุ   และตัววัตถุสำริดประเภทต่าง ๆ  เช่น  ใบหอก  หัวขวาน  หัวลูกศร กำไลข้อมือ/ข้อเท้า เบ็ดตกปลา ฯลฯ
               วัตถุสำริดชิ้นที่มีอายุเก่าที่สุดที่พบจากการขุดค้นคือ ใบหอกที่มีส่วนปลายงอพับซึ่งพบฝังอยู่ในหลุมศพที่กำหนดอายุได้ราว ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ผลการวิเคราะห์พบว่าใบหอกชิ้นนี้มีกรรมวิธีการทำคือ         เริ่มต้นด้วยการหล่อโดยใช้แม่พิมพ์ชนิด ๒ ชิ้นประกบกัน จากนั้นนำไปตีเพื่อตกแต่งรูปร่างให้สมบูรณ์เสร็จแล้วได้ถูกนำไปเผาไฟจนร้อนแดงแล้วปล่อยให้เย็นตัวลงอย่างช้าๆ    เพื่อลดความเปราะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการตีตกแต่ง กรรมวิธีเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าช่างสำริดรุ่นแรก ๆ ที่บ้านเชียง มีความเข้าใจพื้นฐานของการโลหกรรมสำริดเป็นอย่างดียิ่ง
               หลังจากนั้นราว ๒,๗๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วจึงเริ่มมีการใช้เหล็ก มีผลการวิเคราะห์แสดงว่าเหล็กที่ใช้ตั้งแต่ครั้งแรก ๆ นั้นไม่ใช่เหล็กจากอุกาบาต แต่เป็นเหล็กที่ได้มาจากการถลุงสินแร่เหล็ก ให้ได้เป็นก้อนโลหะเหล็กเสียก่อน แล้วจึงนำไปตีขึ้นรูปให้เป็นสิ่งของมีรูปร่างตามต้องการ ขั้นตอนสุดท้ายในการทำเครื่องมือเหล็กคือ การชุบให้เหล็กแข็งแรงขึ้นด้วยการเผาให้ร้อนแดงแล้วจุ่มลงไปในน้ำเย็นทันที
               เครื่องมือเหล็กที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นใบหอก หัวขวาน และหัวลูกศร นอกจากนั้นก็มีเคียวและมีด
ใบหอกสำริด
ปล้องแขนสำริด
ขวานสำริดมีร่งรอยของผ้าติดอยู่
กำไลสำริด

  ผ้าและสิ่งทอ
               เทคโนโลยีการทอผ้าถือกำเนิดมาจากการทำเชือก เสื่อ และเครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนโบราณในแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงรู้จักทำเชือกมานานไม่ต่ำกว่า ๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว
                หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเส้นด้ายหรือผืนผ้าที่พบเสมอในแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงคือ แวดินเผา ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปั่นด้าย ส่วนใหญ่มีลักษณะทรงกลม ครึ่งทรงกลม กลมรี แผ่นกลมแบน รูปกรวย กรวยสองอันประกบกัน เป็นต้น

                                           การทอผ้า                ผ้าบนห่วงคอสำริดจากบ้านเชียง
                                                               

              
     หลักฐานที่แสดงถึงเทคโนโลยีการทอผ้าปรากฏชัดเจนในยุคโลหะ มีการพบผ้าและร่องรอยของผ้าบนเครื่องสำริดและเครื่องมือเหล็ก    จากการตรวจสอบเส้นใยโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ไม่พบร่องรอยของสีย้อม    ผลการวิเคราะห์เส้นใยด้วยวิธีวิทยาศาสตร์พบว่า ผ้าจากแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงส่วนใหญ่เป็นผ้าที่ทอจากเส้นใยป่านกัญชา หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า กัญชง (Hemp หรือ Cannabis Sativa) และส่วนน้อยทอจากใยฝ้าย

ายุสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียง

               ผลการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีจากบ้านเชียงที่มีอยู่ แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมบ้านเชียงเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว ๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว และมีความต่อเนื่องมาจนถึงราว ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว ในช่วงระยะเวลายาวนานนับพันๆ ปีของวัฒนธรรมบ้านเชียงได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นทั้งในด้านพฤติกรรมและวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมซึ่งได้แก่ ประเพณีการฝังศพ และภาชนะดินเผา
               ดร.จอยซ์ ซี ไวท์ (Dr. Joyce C. White) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องหลักฐานจากบ้านเชียงคนล่าสุด ได้ใช้ลักษณะความแตกต่างของภาชนะดินเผาและการฝังศพ ประกอบกับหลักฐานเสริมอื่นเป็นตัวบ่งชี้ เพื่อจัดลำดับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ได้สรุปว่าวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงแบ่งออกได้เป็น ๓ สมัยใหญ่ ดังนี้
               สมัยต้น (Early Period) มีอายุตั้งแต่ราว ๕,๖๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีภาชนะวางอยู่ที่เท้าหรือศีรษะศพ ฝังงอตัว มีหรือไม่มีของฝังรวมอยู่ด้วย ภาชนะดินเผาระยะแรก ๆ ของสมัยต้น คือ ภาชนะดินเผาสีดำ-เทาเข้ม มีเชิงหรือฐานเตี้ย ๆ ตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้ง ในระยะที่ ๒ ของสมัยต้น มีภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพเด็ก ในระยะที่ ๓ ของสมัยต้น มีภาชนะแบบที่มีผนังด้านข้างตรงถึงเกือบตรง รูปร่างเป็นภาชนะทรงกระบอก (Beaker) และในระยะที่ ๔ ของสมัยต้น มีภาชนะประเภทหม้อก้นกลม ตกแต่งบริเวณไหล่ภาชนะด้วยลายขีดเป็นเส้นคดโค้งผสมกับการระบายสี     มีการตั้งชื่อเรียกว่า “ภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้ว”     เนื่องจากได้พบเป็นครั้งแรกที่บ้านอ้อมแก้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเชียง
               สมัยกลาง (Middle Period) มีอายุตั้งแต่ราว ๓,๐๐๐ – ๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว มีการฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีเศษภาชนะดินเผาที่ถูกทุบคลุมศพ ภาชนะดินเผาประเภทเด่นที่พบ ได้แก่ ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ ผิวนอกสีขาว ทำส่วนไหล่ภาชนะหักเป็นมุมหรือโค้งมากจนเกือบเป็นมุมค่อนข้างชัด มีทั้งแบบที่มีก้นภาชนะกลมและก้นภาชนะแหลม บางใบมีการตกแต่งด้วยลายขีดผสมกับลายเขียนสีที่บริเวณใกล้ปากภาชนะ ในช่วงปลายสุดของสมัยกลางเริ่มมีการตกแต่งปากภาชนะดินเผารูปแบบนี้ด้วยการทาสีแดง
               สมัยปลาย (Late Period) มีอายุตั้งแต่ราว ๒,๓๐๐ – ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว การฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาว มีภาชนะดินเผาเต็มใบวางอยู่บนลำตัว ภาชนะดินเผาที่พบในช่วงต้นของสมัยปลายได้แก่ ภาชนะเขียนลายสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ต่อมาในช่วงกลางสมัยเริ่มมีภาชนะดินเผาเขียนลายสีแดงบนพื้นสีแดง ถัดมาในช่วงท้ายสุดของสมัยจึงเริ่มมีภาชนะดินเผาทาด้วยน้ำดินสีแดงแล้วขัดมัน (อ้างอิง: กรมศิลปากร, มรดกวัฒนธรรมบ้านเชียง, ๒๕๕๐)
               เกี่ยวกับการกำหนดอายุสมัยของบ้านเชียงนั้น ล่าสุดจากการบรรยายเรื่องหลักฐานทางโบราณคดีของบ้านเชียงเมื่อเดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐ ดร.จอยซ์ ซี ไวท์ (Dr. Joyce C. White) ได้เสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลการกำหนดอายุอินทรีย์วัตถุที่ผสมอยู่ในภาชนะดินเผาสมัยแรกสุดของบ้านเชียงว่ามีอายุประมาณ ๔,๓๐๐ ปีมาแล้ว จึงนำไปสู่การเกิดข้อคิดเห็นใหม่ขึ้นมาว่าการอยู่อาศัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ครั้งแรกสุดที่บ้านเชียงนั้นอาจเกิดขึ้นเมื่อราว ๔,๓๐๐ ปีมาแล้ว ส่วนยุคก่อนประวัติศาสตร์ระยะสุดท้ายที่บ้านเชียงมีอายุระหว่าง ๒,๓๐๐ – ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องอายุสมัยของการอยู่อาศัยแรกเริ่มที่บ้านเชียงนี้ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่ยังไม่เป็นที่ยุติ       (อ้างอิง: สุรพล นาถะพินธุ, รากเหง้าบรรพชนคนไทยพัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์, ๒๕๕๐)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง

ประวัติพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
               พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียงถือกำเนิดขึ้น  ภายหลังจากการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเชียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ก่อให้เกิดความตื่นตัวของคนในท้องถิ่นที่จะช่วยดูแลรักษาทำนุแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงที่กำลังถูกขุดทำลายจากขบวนการค้าโบราณวัตถุ เพื่อให้เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป
               ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กรมศิลปากรจึงได้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง โดยเปิดให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๔
               ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ มูลนิธิจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้สนับสนุนงบประมาณจัดสร้างอาคารหลังที่ ๒ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชทานนามว่า “อาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในพิธีเปิด “อาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐
               ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ กรมศิลปากรได้รับงบประมาณตามโครงการปรับปรุงแหล่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในภูมิภาคอินโดจีน มาดำเนินการก่อสร้างอาคารจัดแสดงนิทรรศการ และปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวร และส่วนบริการต่างๆ ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนามของอาคารหลังใหม่ว่า “อาคารกัลยาณิวัฒนา” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารกัลยาณิวัฒนา ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
การจัดแสดงและการให้บริการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
               ที่ตั้ง
               พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง หมู่ที่ ๑๓ ถนนสุทธิพงษ์ ตำบลบ้านเชียง
               อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ๔๑๓๒๐
               โทรศัพท์ ๐ ๔๒๒๐ ๘๓๔๐ โทรสาร ๐ ๔๒๒๐ ๘๓๔๑
               E-mail : bc-worldheritage@hotmail.com

               สถานที่เปิดให้บริการ
               ๑. อาคารจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง มีอาคารจัดแสดงนิทรรศการถาวร จำนวน ๔ หลัง โดยมีส่วนจัดนิทรรศการและส่วนบริการภายในอาคารต่างๆ ดังนี้

          ๑.๑ อาคารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นอาคารหลังแรกของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ปัจจุบันปรับปรุงเป็นอาคารสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง และคลังเก็บรักษา โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ
          ๑.๒ อาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เดิมเป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ต่อมาได้รับการปรับปรุงพัฒนาเป็นอาคารส่วนบริการ ประกอบด้วย ห้องจำหน่ายบัตร หนังสือและของที่ระลึก ห้องประชุม ห้องควบคุมและรักษาความปลอดภัย และห้องจัดนิทรรศการหมุนเวียน
          ๑.๓  อาคารกัลยานิวัฒนา เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการหลังใหม่ที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นเมื่อครั้งที่มีการปรับปรุงและพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยเป็นอาคารที่สร้างเชื่อมต่อจากอาคารสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ภายในมีส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร จำนวน ๙ ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนจัดแสดงที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับบ้านเชียง
               จัดแสดงเรื่องราวเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ   เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรหลุมขุดค้นทางโบราณคดีบ้านเชียง เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ทรงเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานแนวพระราชดำริอันทรงคุณประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นบ้านเชียง และความก้าวหน้าในการศึกษาวิชาการโบราณคดีของประเทศไทยสืบมาถึงปัจจุบัน

ส่วนจัดแสดงที่ ๒ การดำเนินงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง 
               จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของการทำงานด้านโบราณคดีที่บ้านเชียง เริ่มตั้งแต่การค้นพบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่บ้านเชียงและการค้นพบโดยบังเอิญของนายสตีเฟน ยัง ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ซึ่งนำไปสู่การทำงานด้านโบราณคดีอย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังนำเสนอลำดับเหตุการณ์และบุคคลสำคัญทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง

ส่วนจัดแสดงที่ ๓ การปฏิบัติงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง 
               จัดแสดงบรรยากาศการทำงาน ณ หลุมขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง โดยจำลองเอาสภาพของหลุมขุดค้นและบริเวณใต้ถุนของชาวบ้านซึ่งนักโบราณคดีใช้เป็นสถานที่ในการทำงานด้านต่างๆ ทั้ง การคัดแยก การวิเคราะห์โบราณวัตถุ ตลอดจนเครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการทำงานของนักโบราณคดี ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๗–๒๕๑๘ นอกจากนี้ยังมีสื่อวิดีทัศน์ที่นำเสนอบทสัมภาษณ์นักโบราณคดี และนักวิชาการที่เคยมีส่วนร่วมในการขุดค้นทางโบราณคดี
ส่วนจัดแสดงที่ ๔ บ้านเชียง : หลุมขุดค้นทางโบราณคดี
               จัดแสดงต่อเนื่องจากส่วนจัดแสดงที่ ๓ นำเสนอบรรยากาศและสภาพการทำงานโบราณคดี โดยจำลองหลุมขุดค้นจำลองและมีหุ่นจำลองนักโบราณคดีกำลังปฏิบัติงานในขั้นตอนต่างๆ อาทิ การถ่ายภาพ การจดบันทึกหลักฐาน โดยผู้ชมสามารถเดินผ่านเข้าไปชมในหลุมจำลองได้อย่างใกล้ชิด
ส่วนจัดแสดงที่ ๕ โบราณวัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน
               จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน และนำมาจัดแสดงตามลำดับอายุสมัย อาทิ ภาชนะดินเผาสมัยต้นเนื้อดินสีดำตกแต่งที่ผิวภาชนะด้วยลายขูดขีด หรือภาชนะดินเผาสมัยปลายที่นิยมเขียนลายสีแดงที่ผิวภาชนะในรูปแบบต่างๆ เครื่องมือและเครื่องประดับทำจากหิน เครื่องประดับสำริด และเครื่องมือเหล็ก เป็นต้น
ส่วนจัดแสดงที่ ๖ วัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์
               จัดแสดงเรื่องราวและวิถีชีวิตของมนุษย์ในวัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยนำเสนอในลักษณะของหุ่นจำลองเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมในอดีต การอยู่อาศัยและการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ อาทิ การล่าสัตว์ การเกษตรกรรม การทำภาชนะดินเผา การทำโลหกรรม การทอผ้า รวมถึงสภาพแวดล้อมในขณะนั้น โดยจัดแสดงควบคู่ไปกับหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนจัดแสดงที่ ๗ บ้านเชียง : การค้นพบยุคสำริดที่สาบสูญ
               การจัดแสดงส่วนนี้ปรับปรุงและพัฒนามาจากชุดนิทรรศการเคลื่อนที่ ซึ่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียได้จัดทำขึ้น และนำไปจัดแสดงในประเทศสหรัฐอเมริการและสิงคโปร์ เป็นชุดนิทรรศการที่ทำให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ โดยมีการนำเสนอหลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีการค้นพบในแถบเอเชียอาคเนย์ จนกระทั่งมีการค้นพบยุคสำริดของวัฒนธรรมบ้านเชียง
ส่วนจัดแสดงที่ ๘ บ้านเชียง : มรดกโลก
               จัดแสดงเรื่องแหล่งโบราณคดี “บ้านเชียง” ที่ได้รับการยกย่องและประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกด้านวัฒนธรรมในลำดับที่ ๓๕๙ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ด้วยคุณค่าและความโดดเด่นตามเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ข้อ ๓ คือ “เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากยิ่ง หรือเป็นพยานหลักฐานแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีหรืออารยธรรม ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่หรือสูญหายไปแล้ว”
ส่วนจัดแสดงที่ ๙ การกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียง
               จัดแสดงโบราณวัตถุจากการสำรวจของกรมศิลปากร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เพื่อศึกษาการกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณแอ่งสกลนคร ปัจจุบันมีการค้นพบแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมบ้านเชียงมากถึง ๑๒๗ แหล่ง กระจายอยู่หนาแน่นตามลุ่มน้ำสำคัญในเขตจังหวัดอุดรธานี หนองคาย และสกลนคร อาทิ ห้วยหลวง-แม่น้ำสงคราม หนองหานภุมภวาปี เป็นต้น

          ๑.๔ อาคารนิทรรศการไทพวน (ส่วนจัดแสดงที่ ๑๐) จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมา วิถีชีวิต เอกลักษณ์และภูมิปัญญา รวมทั้งประเพณีต่างๆ ของชาวไทยพวน บ้านเชียง ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน เมื่อราว ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยได้ตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านเชียง” และได้อยู่อาศัยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
              
 ๒. หลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน ตั้งอยู่ภายในวัดโพธิ์ศรีในซึ่งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จมาทอดพระเนตรการทำงานของนักโบราณคดี ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ กรมศิลปากรได้ดำเนินการปรับปรุงหลุมขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีใน และเก็บรักษาหลักฐานทางโบราณคดีไว้ในสภาพดั้งเดิม โดยจัดแสดงในรูปแบบของพิพิธภัณฑสถานกลางแจ้งแห่งแรกของประเทศไทย
               ๓. บ้านไทพวน (อนุสรณ์สถานในการเสด็พระราชดำเนิน) เดิมเป็นบ้านของนายพจน์ มนตรีพิทักษ์ ชาวบ้านเชียงที่อนุญาตให้กรมศิลปากรเข้ามาดำเนินการทางโบราณคดี ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ และเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการทำงานของนักโบราณคดีพร้อมกับเสด็จขึ้นชมเรือนไทพวนของนายพจน์ มนตรีพิทักษ์
               นายพจน์ ได้มอบบ้านและที่ดินให้แก่กรมศิลปากร จึงได้ปรับปรุงเรือนไทพวนเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรหลุมขุดค้นมนตรีพิทักษ์ และจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทพวน บ้านไทพวนได้รับรางวัลพระราชทานด้านการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
 การเปิดให้บริการ
               เปิดให้ชมวันอังคาร – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น.
               ปิดวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

               การบริการ
                - นำชมเป็นหมู่คณะ โดยการนัดหมาย
                - ให้บริการยืมนิทรรศการหมุนเวียน ภาพถ่าย หนังสือห้องสมุด
                - จัดบรรยายทางวิชาการ
                - จำหน่ายหนังสือ ภาพโปสการ์ด และของที่ระลึก

               อัตราค่าเข้าชม
               คนไทย ๓๐ บาท   ชาวต่างชาติ ๑๕๐ บาท ยกเว้น   นักเรียน   นักศึกษาในเครื่องแบบ   ผู้สูงอายุ (ชาวไทย)   ภิกษุ สามเณร   และนักบวชในศาสนาต่างๆ
              
คุณค่าแห่งความเป็นมรดกโลก


               แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นปรากฎการณ์สำคัญของอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นตัวแทนวิวัฒนาการด้านวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยี ที่มีความเจริญรุ่งเรืองสืบทอดยาวนานกว่า ๕,๐๐๐ ปี ในช่วงเวลาระหว่าง ๓,๖๐๐ ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช ๒๐๐ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ในทะเบียนบัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลกแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๓๕ ด้วยคุณค่าและความโดดเด่นตามหลักเกณฑ์มาตรฐานข้อที่ ๓ ดังนี้
                                “เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว”
ารบริหารจัดการ

              ภายใต้การคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๐๔ และประกาศคณะปฏิวัติ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ กรมศิลปากร ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงในการบริหารจัดการแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้ดำเนินการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำแหล่ง สำหรับเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุจำนวนมากที่ได้จากการรวบรวมและการขุดค้นทางโบราณคดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา     รวมทั้งยังคงเก็บรักษาและจัดแสดงหลุมขุดค้นทางโบราณคดี
ที่ดำเนินการในช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ ไว้ในสภาพดั้งเดิม (in situ) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนโดยทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจ และตะหนักในคุณค่าและความสำคัญของการอนุรักษ์แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของโลกแห่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าของอนุชนรุ่นหลังตลอดไป
รดกโลก บ้านเชียง ในปัจจุบัน

ด้วยคุณค่าและความสำคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างแก่ชุมชนในปัจจุบัน บ้านเชียงได้กลายเป็นหมู่บ้านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะแหล่งมรดกโลก ด้านวิชาการ ข้อมูล และโบราณวัตถุจำนวนมหาศาลได้รับการวิเคราะห์แปลความ  โดยนักโบราณคดีที่ทำการศึกษาตามหลักวิชาการ     แต่อย่างไรก็ตามแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้ถูกลักลอบขุดค้น และซื้อขายในตลาดมืดกันอย่างมากมาย โดยทางราชการก็ได้ใช้มาตรการทางกฏหมาย เช่น พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พุทธ-ศักราช ๒๕๓๕ รวมถึงประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๘๙ ที่ห้ามการขุดค้นในพื้นที่บ้านเชียงและบริเวณโดยรอบ ปัจจุบันชุมชนบ้านเชียง ได้มีขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย จึงต้องเร่งกำหนดขอบพื้นที่ที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อรักษาแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง มิให้ถูกทำลายหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ดังนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจ และความร่วมมือร่วมใจกันของทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อช่วยกันอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญแห่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดต่ออนุชนรุ่นหลังต่อไป







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น